tag:blogger.com,1999:blog-83083746826935391932024-03-14T19:48:43.362+07:00คุณธรรม จริยธรรมAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/05751093116893986780noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-8308374682693539193.post-25497755089347739572013-07-19T01:09:00.003+07:002013-07-19T02:22:58.236+07:00วันสำคัญทางศาสนาอิสลาม<span style="background-color: white;"><span style="background-color: white; font-family: 'Ms Sans Serif'; font-size: 14px; font-weight: bold; text-align: -webkit-center;"> </span><span style="background-color: white; font-family: 'Ms Sans Serif'; font-weight: bold; text-align: -webkit-center;"> <span style="font-size: large;"> วันอาชูรออ์ </span></span></span><br />
<span style="background-color: white; font-size: large;"><span style="font-family: 'Ms Sans Serif';"> อาชูรออ์ แปลว่า วันที่ 10 เป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่ออิมามฮุเซนบิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนื่องจากถูกสังหารในสงคราม อัฏฏ็อฟ ในอิรัก เมื่อวันที่ 10 มุฮัรรอม ฮ.ศ. 61 ซึ่งตรงกับวันที่ 10 ตุลาคม ค.ศ. 680 มุสลิมในประเทศไทย มีการทำอาหารชนิดหนึ่งเรียกว่า</span><strong style="font-family: 'Ms Sans Serif';"> บูโบร์อาชูรอ</strong><span style="font-family: 'Ms Sans Serif';"> เป็นคำในภาษา </span><span style="font-family: 'Ms Sans Serif';">มลายูปาตานี - กลันตัน เป็นชื่อขนมกวนชนิดหนึ่ง เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า บูบูรอาชูรออ์ ในภาษามลายูมาตรฐานที่แปลว่า ขนมกวนวันที่สิบนั่นเอง อาชูรออ์ เป็นคำที่ยืมจากภาษาอาหรับอาชูรออ์ แปลว่าวันที่ 10 ซึ่งในอิสลามหมายถึงวันที่ 10 แห่งเดือน มุฮัรรอม แห่งปฏิทินอิสลาม ชาวมลายูในภาคใต้</span><span style="font-family: 'Ms Sans Serif';">จะมีการทำบุญร่วมกัน โดยการทำขนมที่มีชื่อว่า บูโบซูรอ วิธีการทำก็คือ โดยการ กวนข้าว น้ำตาล</span><span style="font-family: 'Ms Sans Serif';">มะพร้าว กล้วย ผลไม้อื่นๆ และวัตถุดิบต่างๆ ที่ชาวบ้านนำมา เอามาผสมกันในกะทะใหญ่ และช่วยกัน</span><span style="font-family: 'Ms Sans Serif';">กวนคนละไม้คนละมือ จนกระทั่งทุกอย่างเละจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน มีการปรุงรส ให้มีรสชาติหวาน ตัดด้วยรสเค็มนิดหน่อย จนกระทั่งว่า ได้ที่แล้วจึงตักใส่ถาดรอให้ขนมเย็นเอาไปเลี้ยงคน หรืออาจจะเก็บ ไว้กินวันต่อไปก็จะมีรสชาติอร่อยไปอีกแบบ ผู้รู้เชื่อว่าประเพณีการกวนขนมในวันนี้ เป็นประเพณีของชีอะหฺ แม้ว่า จะมีการอ้างว่ารำลึกถึงเหตุการณ์อื่นๆ ก็ตาม มุสลิมซุนนีย์บางพวกจะถือศีลอดงดอาหารในวันอาชูรออ์</span></span><br />
<span style="background-color: white; font-size: large;"><span style="font-family: 'Ms Sans Serif';"><br /></span>
<span style="font-family: 'Ms Sans Serif';"><br /></span>
</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsA-0CvaSU3d5BvBJTJIripM2hYxQbX75O3RRtTs5fXlMTneEo-FXeQkjMuyD_gmz3UtQ9xG3zpqj0SuLqMqjPgVpNpzEmv-TvklVNzVWfB57kh10a4XDaw9CPutb5mhA__gJPLzpjNvs/s1600/images+(6).jpg" imageanchor="1"><span style="background-color: white; color: black; font-size: large;"><img border="0" height="238" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjsA-0CvaSU3d5BvBJTJIripM2hYxQbX75O3RRtTs5fXlMTneEo-FXeQkjMuyD_gmz3UtQ9xG3zpqj0SuLqMqjPgVpNpzEmv-TvklVNzVWfB57kh10a4XDaw9CPutb5mhA__gJPLzpjNvs/s1600/images+(6).jpg" width="320" /></span></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: white; font-family: 'Ms Sans Serif'; font-size: large;">การกวนขนมอาซูรออ์</span></div>
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="background-color: white; width: 100%px;"><tbody>
<tr><td valign="top"><blockquote>
</blockquote>
</td></tr>
<tr><td align="center" class="data_head" style="font-family: 'Ms Sans Serif'; font-weight: bold;" valign="top"><span style="font-size: large;"><span style="background-color: white;"><strong></strong><br /></span>
</span><br />
<a name='more'></a><strong style="background-color: white;"><span style="font-size: large;"><br />ความประเสริฐของวันอาชูรออ์กับการถือศีลอด</span></strong></td></tr>
<tr><td valign="top"><blockquote>
<div align="left" class="data" style="font-family: 'Ms Sans Serif';">
<span style="background-color: white; font-size: large;"><span class="data"> ได้มีฮาดีษมากมายได้รายงานถึงความประเสริฐของวันอาชูรออ์กับการถือศีลอด ซึ่งได้รับการยืนยันจากวจนะของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) โดยที่เราจะยกมากล่าวบางฮาดีษ ในหนังสือซอฮีฮัยน์ได้มีรายงานจากท่านอิบนิอับบาสว่า เขาได้ถูกถามถึงวันอาชูรออ์ ท่านอิบนิอับบาสจึงกล่าวไปว่าความว่า: ฉันไม่เคยเห็นท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) สักวันที่จะให้ความประเสริฐกับวันต่างๆ นอกจากวันนี้ หมายถึงวันอาชูรออ์ และเดือนนี้ เดือนรอมมาฎอน อย่างที่เราได้กล่าวมาก่อนนี้ว่า วันอาชูรออ์นั้นมีความประเสริฐยิ่ง และมีเกียรติยิ่ง ในอดีตกาล โดยที่ท่านนบีนูฮฺ (อ.) จะทำการถือศีลอดเพื่อเป็นการขอบพระทัยต่ออัลลอฮฺ และท่านนบีมูซา (อ.) ก็ได้ทำการถือศีลอด เพื่อ เป็นการขอบพระทัยต่ออัลลอฮฺ และให้เกียรติกับวันอาชูรออ์ ยิ่งไปกว่านั้นชาวคัมภีร ์ยิวและคริสต์ ต่างก็ทำการถือศีลอดในวันอาซูรออ์ และชาวกุเรชในยุคญาฮีลียะฮฺ ก็ได้ถือศีลอดในวันอาซูรออ์เช่นกัน ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้ทำการถือศีลอดในวันอาชูรอที่มักกะฮฺ และก็มิได้สั่งใช้ให้ผู้ใดทำการ ถือศีลอด ครั้นเมื่อท่านศาสดา (ซ.ล.) ได้มายังมาดีนะฮ และได้เห็นว่าชาวคัมภีรได้ถือศีลอดและให้ความ สำคัญกับวันอาชูรออ์ และท่านศาสดา</span><span class="data">จึงมีความต้องการให้มีความสอดคล้อง</span><span class="data">กันกับชาว คัมภีร์ในสิ่งที่ท่านศาสดาไม่เคยสั่งใช้การ ถือศีลอดในวันอาชูรออ์ ท่านศาสดาจึง ได้ถือศีลอดและสั่งใช้ให้อัครสาวก ในวันนี้ด้วย ซึ่งได้มีรายงานในหนังสืออัซซอฮีฮัยน์ ซึ่งรายงานมาจากท่านอิบนิอับบาสว่า<br />ความว่า: ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ได้ย่างก้าว เข้าสู่มาดีนะฮฺ แล้วพบว่าชาวยาฮูดีย์ (ยิว) ได้ถือศีลอดในวันอาชูรออ์ ท่านศาสดาจึงกล่าว กับพวกเขาว่า "วันนี้เป็นวันอะไรซึ่งพวกท่านได้ถือศีลอดกัน" พวกเขากล่าวว่า "วันนี้เป็นวันอันยิ่งใหญ่ที่อัลลอฮฺ ได้ทรงให้ท่านนบีมูซาและกลุ่มชนของเขารอดพ้นจาก ฟาโรห์ และเป็นวันที่อัลลอฮฺได้ทรงทำ ให้ฟาโรห์ และพรรคพวกจมน้ำ แล้วท่านนบีมูซาก็ได้ถือศีลอด ในวันนี้ เพื่อเป็นการขอบพระทัยต่ออัลลอฮฺ พวกเราจึงได้ถือศีลอดกัน ในวันนี้ด้วย ท่านศาสดาจึงได้กล่าวต่อไปว่า "แน่นอนเรามีสิทธิ์และ ดีกว่าพวกท่านเนื่องด้วยนบีมูซา" และท่านศาสดา ก็ได้ถือศีลอด และสั่งใช้ให้อัครสาวกถือศีลอดในวันอาชูรอนี้ ครั้งเมื่อการกำหนดฟัรดู การถือศีลอดในเดือนรอมมาฎอนถูกประทานลงมา ท่านศาสดา จึงได้ละทิ้งการสั่งใช้</span><span class="data">ให้อัครสาวก ถือศีลอดในวันอาชูรออ์ และส่งเสริม ให้ถือศีลอดในวันอาซูรออ์เท่านั้น ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเรื่อง ที่จำเป็นใดๆ แต่เป็นเพียงสุนัตเท่านั้น เพราะได้มีฮาดีษในหนังสืออัซซอฮีฮัยน์ ซึ่งรายงานมาจากท่านอิบนิอุมัรว่า</span></span></div>
</blockquote>
<table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" style="width: 100%px;"><tbody>
<tr><td align="center" class="data_head" style="font-family: 'Ms Sans Serif'; font-weight: bold;" valign="top"><span style="background-color: white; font-size: large;"><br /></span></td></tr>
<tr><td valign="top"><blockquote>
<div align="left" class="data" style="font-family: 'Ms Sans Serif';">
<span style="background-color: white; font-size: large;">ความว่า: ท่านนบีมูฮัมหมัด (ซ.ล.) เคยถือศีลอดในวันอาชูรอ และสั่งใช้ให้อัครสาวก ถือศีลอดในวันดังกล่าวด้วย ต่อมาเมื่อการถือศีลอด รอมมาฎอนถูกำหนดให้เป็นฟัรดู ท่านนบีก็ได้ละทิ้งการสั่งใช้ให้อัครสาวกถือศีลอดในวันอาชูรออ์ และคงการถือศีลอดในวันอาชูรออ์ ได้ให้ป็นเพียงสุนัตเท่านั้น และได้มีรายงานจากท่านมูอาวียะฮฺด้วยว่า<br /><br />ความว่า: รายงานจากท่านมูอาวียะฮฺ ซึ่งเขาได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) กล่าวว่า "วันนี้เป็น วันอาชูรออ์ โดยที่อัลลอฮฺมิได้ทรงกำหนดฟัรดูการถือศีลอดให้กับพวกท่านในสภาพที่ฉัน<br />ก็เป็นผู้ถือศีลอดดังนั้น ผู้ใดที่ต้องการถือศีลอดก็จงถือศีลอด และผู้ใดที่ต้องการละศีลอดก็จงละศีลอด" ซึ่งนี่ก็เป็น หลักฐานหนึ่งของการยกเลิกสิ่งที่เป็นวายิบ(จำเป็น) และคงไว้เพียงสุนัต ส่วนหนึ่งจาก ความประเสริฐของเดือนมูฮัรรอมก็คือ การถือศีลอดในวันอาชูรออ์ จะเป็นการลบล้างความผิด ในปีที่ผ่านมา ในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.)ท่านมีความตั้งใจต่อการที่ท่านจะไม่ถือศีลอด ในวันอาชูรออ์เพียงแค่วันเดียว แต่ท่านต้องการให้ผนวกวันอื่นๆ เข้าไปด้วยเพื่อไม่ให้เหมือนกับ<br />การถือศีลอดของชาวคัมภีร์ในวันดังกล่าว เพราะได้มีฮาดีษในหนังสือซอเฮียะมุสลิม ซึ่งรายงานมาจาก ท่านอิบนิอับบาสว่า<br /><br />ความว่า :ในขณะที่ท่านศาสดามูฮัมหมัด (ซ.ล.) ถือศีลอดในวันอาชูรออ์ และสั่งใช้ให้อัครสาวกถือศีลอดในวันนั้น พวกเขา (อัครสาวก) จึงกล่าวว่า "โอ้ท่านศาสดา แน่แท้มันคือวันที่ชาวยิวและคริสต์ให้การยกย่อง" ดังนั้นท่านศาสดาจึงกล่าวว่า "ดังนั้นเมื่อปีหน้ามาถึง (อินชาอัลลอฮฺ) เราจะถือศีลอดในวันที่ 9 พร้อมกับวันที่ 10" เพื่อให้แตกต่างจากการกระทำของชาวคัมภีร์ ท่านอิบนิอับบาสได้กล่าวต่อไปว่า "ไม่ทันที่ปีกาลใหม่จะมาถึง ท่านศาสดาก็ได้เสียชีวิตไป"<br /><br />ระดับการถือศีลอด มี 3 ระดับ ท่านอิบนิกอยยิมได้กล่าวไว้ในหนังสือ<br /> 1. ระดับที่สมบูรณ์ที่สุดให้ถือศีลอด ก่อนและหลังวันอาชูรออ์ หมายถึงให้ถือศีลอดในวันที่ 9 ,10 ,11 ของเดือนมูฮัรรอม<br /> 2. ระดับกลางให้ถือศีลอดก่อนวันอาชูรออ์หนึ่งวัน หมายถึงวันที่ 9 ของเดือนมูฮัรรอม<br /> 3. ระดับสุดท้ายให้ถือศีลอดในวันที่ 10 เดือนมูฮัรรอมเพียงวันเดียว<br />และแน่นอนท่านศาสดาได้ส่งเสริมให้ประชาชาติของท่านทำความดีให้มากๆ โดยเฉพาะวันที่สำคัญ ทางศาสนา เช่น วันอาชูรออ์ เป็นต้น ถึงแม้ว่าท่านศาสดา จะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนนอกเหนือจาก การถือศีลอดในวันอาชูรออ์แล้ว แต่นั้นก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ท่านศาสดา ส่งเสริมให้ทำความดีในวันนั้น ไม่ว่าจะเป็นการขอพร การอ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอ่าน การกล่าวซิเกร การกล่าวตักเตือนกัน การกล่าวถึงศาสดาต่างๆ ในวันนี้ก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ศาสนาอิสลามส่งเสริมให้ปฏิบัติทั้งนั้น</span></div>
</blockquote>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicM7KKYx5apMxCc1CiB4481sljhNS32X_4dx7eVYxfjZhFDGhfgA-HYEMc2AWnkVMQTk_qZKMFaNaJjLHAkrfCYoFCa0YqddVEHwCYwyW67IL2GtqxJ7bsEo2YLE7GkHRswuDR84Y3n9Q/s1600/images+(7).jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="background-color: white; color: black; font-size: large;"><img border="0" height="179" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicM7KKYx5apMxCc1CiB4481sljhNS32X_4dx7eVYxfjZhFDGhfgA-HYEMc2AWnkVMQTk_qZKMFaNaJjLHAkrfCYoFCa0YqddVEHwCYwyW67IL2GtqxJ7bsEo2YLE7GkHRswuDR84Y3n9Q/s320/images+(7).jpg" width="320" /></span></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="font-size: large; text-align: start;"> ขนมอาซูรออ์</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: white; font-size: large;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjR2RCnuB5TgPiwOqrVvJR99MwcuIx6Gs5B2hG4pCsV2xSn8_JrT7FCKnXYETNZoAUPbK7eH2Pi9Pg9AGkDOsmRJDKcYqU96fHUYlanf7zlXmpMcutm8CgF_gwBU-z-sKaQVbtIM4NufG0/s1600/images+(8).jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="background-color: white; color: black; font-size: large;"><img border="0" height="235" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjR2RCnuB5TgPiwOqrVvJR99MwcuIx6Gs5B2hG4pCsV2xSn8_JrT7FCKnXYETNZoAUPbK7eH2Pi9Pg9AGkDOsmRJDKcYqU96fHUYlanf7zlXmpMcutm8CgF_gwBU-z-sKaQVbtIM4NufG0/s320/images+(8).jpg" width="320" /></span></a></div>
<span style="background-color: white; font-size: large;"> ขนมอาซูรออ์</span><br />
<span style="font-size: large;"><span style="background-color: white;"><br /></span>
<span style="background-color: white;"><br /></span>
<span style="background-color: white;">แหล่งที่มา</span></span><br />
<a href="http://www.lib.ru.ac.th/journal/islamic-culture/asuru_4.html"><span style="background-color: white; color: black; font-size: large;">http://www.lib.ru.ac.th/journal/islamic-culture/asuru_4.html</span></a></td></tr>
</tbody></table>
</td></tr>
</tbody></table>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/05751093116893986780noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8308374682693539193.post-62033191631607153332013-07-18T23:44:00.004+07:002013-07-19T02:30:41.029+07:00การละเล่นของไทย<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9aLfAiQBj1pEzRaui5xHJRUMBs4rFzpnEVTeOCnapRFUAmVgI0IQbBkz0EKcQeRYp4M0pN1S_DDunCTbt5VJcGFlujv92ok5jmz6BBRw1hLfMKhFteztmEUpHGwmdRjwlUpgWcM5ifKo/s1600/th.jpg" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" height="143" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9aLfAiQBj1pEzRaui5xHJRUMBs4rFzpnEVTeOCnapRFUAmVgI0IQbBkz0EKcQeRYp4M0pN1S_DDunCTbt5VJcGFlujv92ok5jmz6BBRw1hLfMKhFteztmEUpHGwmdRjwlUpgWcM5ifKo/s200/th.jpg" width="200" /></a><br />
<span style="color: #cc0000; font-size: large;">ชื่อ หมากขุม<br />ภาค ภาคใต้<br />จังหวัด นครศรีธรรมราช<br /><br /><b>อุปกรณ์และวิธีการเล่น</b><br />อุปกรณ์ในการเล่น<br />๑). รางหมากขุม เป็นรูปเรือทำจากไม้ ยาวประมาณ ๑๓๐ เซนติเมตร กว้างประมาณ ๒๐ เซนติเมตร มีหลุมเรียงเป็น ๒ แถว หลุมกว้างประมาณ ๗ เซนติเมตร ลึกประมาณ ๔ เซนติเมตร มีด้านละ ๗ หลุม เรียกหลุมว่า เมือง หลุมที่อยู่ปลายสุดทั้งสองข้างเป็นหลุมใหญ่กว้างประมาณ ๑๑ เซนติเมตร เรียกว่า หัวเมือง<br />๒) ลูกหมาก นิยมใช้ลูกสวดเป็นลูกหมาก ใส่ลูกหมากหลุมละ ๗ ลูก จึงต้องใช้ลูกหมาก ในการเล่น ๙๘ ลูก<br />๓) ผู้เล่นมี ๒ คน</span><br />
<span style="color: #cc0000; font-size: large;"></span><br />
<a name='more'></a><span style="color: #cc0000; font-size: large;"><b>วิธีการเล่น</b><br />๑) ผู้เล่นนั่งคนละข้างกับรางหมากขุม แต่ละคนใส่ลูกหมากหลุมละ ๗ ลูก ทั้ง ๗ หลุม ส่วนหลุมหัวเมืองไม่ต้องใส่ให้เว้นว่างไว้<br />๒) การเดินหมาก ผู้เล่นจะเริ่มเดินพร้อมกันทั้ง ๒ ฝ่าย เรียกว่า แข่งเมือง โดยหยิบลูกหมากจากหลุมเมืองของตนหลุมใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะหยิบหลุมสุดท้ายของฝ่ายตนเอง เพราะคำนวนว่าเม็ดสุดท้ายจะถึงหัวเมืองของตนพอดี การเดินหมากจะเดินจากขวาไปซ้าย โดยใส่ลูกหมากลงในหลุม ถัดจากหลุมเมืองที่หยิบลูกหมากขึ้นมาเดิน ใส่ลูกหมากหลุมละ ๑ เม็ด รวมทั้งใส่หลุมหัวเมืองฝ่ายตนเอง แล้ววนไปใส่หลุมของฝ่ายตรงกันข้าม ยกเว้นหลุมหัวเมือง เมื่อเดินลูกหมากเม็ดสุดท้ายใส่ในหลุม ให้หยิบลูกหมากทั้งหมดในหลุมนั้นขึ้นมาเดินหมากต่อไป โดยใส่ในหลุมถัดไป เล่นเดินหมากอย่างนี้จนลูกหมากเม็ดสุดท้ายหมดลงในหลุมที่เป็นหลุมว่าง ถือว่าหมากตาย ถ้าเดินหมากตายในหลุมเมืองของฝ่ายตรงข้ามก็ถือว่าสิ้นสุดการเดินหมาก แต่ถ้า<br />ตายในหลุมเมืองฝ่ายตนเอง ให้ผู้เล่นกินหมากหลุมเมืองซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหลุมที่เราเดินหมากมาตาย โดยควักลูกหมากทั้งหมดในหลุมไปไว้ในหลุมหัวเมืองของฝ่ายตน เรียกว่ากินแทน เล่นอย่างนี้จนหลุมเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดลูกหมาก เดินต่อไปไม่ได้ ลูกหมากทั้งหมดจะไปรวมอยู่ในหลุมหัวเมืองของทั้ง ๒ ฝ่าย จึงเริ่มเล่นรอบใหม่ต่อไป<br />๓) การเดินหมากรอบสอง ผู้เล่นจะผลัดกันเดินทีละคน ทำเช่นเดียวกับการเดินรอบแรก นำลูกหมากจากหลุมหัวเมืองฝ่ายตนเองใส่ลงในหลุม ๆ ละ ๗ ลูก ในฝ่ายของตนเอง คราวนี้แต่ละฝ่ายจะมีลูกหมากไม่เท่ากัน ฝ่ายที่มีลูกหมากมากกว่าจะเป็นผู้เดินหมากก่อน ฝ่ายที่มีลูกหมากน้อยกว่าจะใส่ไม่ครบทุกหลุม หลุมใดมีไม่ครบให้นำลูกหมากที่เหลือไปใส่ในหลุมหัวเมืองฝ่ายตน หลุมใดไม่มีลูกหมากเรียกว่า เมืองหม้าย ตามปกติหลุมเมืองหม้ายจะปล่อยไว้หลุมปลายแถว หลุมเมืองหม้ายจะไม่ใส่ลูกหมาก ถ้าฝ่ายใดใส่จะถูกริบเป็นของฝ่ายตรงกันข้าม ในกากรเล่นจะเล่นจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดลูกหมากเดินต่อไปไม่ได้และจะนับเมืองหม้าย ใครมีจำนวนเมืองหม้ายมากกว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายแพ้<br /><br /><b>โอกาสหรือเวลาในการเล่น</b><br />การเล่นหมากขุมจะเล่นในยามว่างจากการงาน เล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นพักผ่อนหย่อนใจ จึงเล่นได้ทั้งวัน<br /><br /><b>คุณค่า สาระ แนวคิด</b><br />๑. การเล่นหมากขุม มีคุณค่าในการฝึกลับสมอง การวางแผนการเดินหมากจะต้องคำนวน จำนวนลูกหมากในหลุม ไม่ให้หมากตาย และสามารถกลับมาหยิบลูกหมากในหลุมของตนเองได้อีก ผู้เดินหมากขุมจึงต้องมีสายตาว่องไว คิดเลขเร็ว เป็นการฝึกวิธีคิดวางแผนจะหยิบหมากในหลุมใดจึงจะชนะฝ่ายตรงกันข้าม เป็นการฝึกให้ผู้เล่นรู้จักคิดวางแผนในการทำงานทุกอย่างสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน<br />๒. เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ นันทนาการภายในบ้าน ภายในชุมชน ให้ทั้งความสนุกสนาน และความใกล้ชิดระหว่างพี่น้อง ญาติมิตร<br />๓. ก่อให้เกิดการประดิษฐ์รางหมากขุม ที่มีความสวยงามและประณีต เป็นความภาคภูมิใจของผู้สร้างชิ้นงาน และยังสามารถสร้างรายได้ในการจำหน่ายรางหมากขุม<br /><br />แหล่งที่มา</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><span style="font-size: large; line-height: 16.890625px;"><a href="http://board.thaidarkside.com/smf/index.php?topic=55071.0" style="background-color: white;">http://board.thaidarkside.com/smf/index.php?topic=55071.0</a></span></span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/05751093116893986780noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8308374682693539193.post-27822050492643926392013-07-18T23:13:00.003+07:002013-07-19T02:26:24.314+07:00ประเพณีไทย<b style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';"><span style="color: #351c75; font-size: x-large;">ประเพณีวันสารทเดือนสิบ/ชิงเปรต</span></b><br />
<div>
<b style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';"><span style="color: #351c75; font-size: large;"><br /></span></b></div>
<div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><u><b>ประเพณีวันสารทเดือนสิบ</b></u>"วันสารทเดือนสิบ" เป็นการทำบุญกลางเดือนสิบเพื่อนำเครื่องอุปโภคและเครื่องบริโภคไปถวายพระ เป็นการอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษของตน</span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglwPNUzZFhocPLeBRhRjQLoPbrwJqRkHdt91CJngcn2eXcOMEmZuoIV1k5Ym6gYtbWNIgTP8aWQYV4OEiOI2MZzK67FGg-yPZsfQwGkyQNuwxp_qvWk_A0J7fl9B3pmO9oyAy8t2XlQgc/s1600/images+(5).jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><span style="color: #351c75; font-size: large;"><img border="0" height="163" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglwPNUzZFhocPLeBRhRjQLoPbrwJqRkHdt91CJngcn2eXcOMEmZuoIV1k5Ym6gYtbWNIgTP8aWQYV4OEiOI2MZzK67FGg-yPZsfQwGkyQNuwxp_qvWk_A0J7fl9B3pmO9oyAy8t2XlQgc/s200/images+(5).jpg" width="200" /></span></a></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<u><span style="color: #351c75; font-size: large;"><b>วัตถุประสงค์</b></span></u><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">เพื่ออุทิศส่วนบุญแก่บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ภาษาบาลีว่า "เปตชน" ภาษาชาวบ้านว่า "เปรต" ซึ่งหมายถึง ผู้ที่รับความทุกข์ทรมานจากวิบากแห่งบาปกรรมที่ทำไว้ในเมืองมนุษย์ เมื่อตายไปจึงเป็นเปรตตกนรก อดอยากยากแค้น คนข้างหลังจึงต้องทำบุญอุทิศให้ปีละครั้งเป็นการเฉพาะ</span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><b><u>ความเชื่อ</u></b></span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">พุทธศาสนิกชนเชื่อว่า บรรพบุรุษได้แก่ ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว หากทำความดีไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ จะได้ไปเปิดในสรวงสวรรค์ แต่หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเป็นเปรต ต้องทุกข์ทรมานในอเวจี ต้องอาศัยผลบุญที่ลูกหลานอุทิศกุศลไปให้ในแต่ละปีมายังชีพ ดังนั้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 10 คนบาปทั้งหลายที่เรียกว่าเปรตจึงถูกปล่อยตัวกลับมายังโลกมนุษย์ เพื่อมาขอส่วนบุญจากลูกหลาน แล้วจะกลับไปนรกในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 </span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
</div>
<a name='more'></a><span style="color: #351c75; font-size: large;"><br /></span>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><b><u>ขั้นตอนการจัดหมรับ</u></b></span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">การจัดหมรับ (หรือ สำรับ) มักจะจัดขั้นตอนการจัดหมรับเฉพาะครอบครัว หรือจัดร่วมกันในหมู่ญาติ และจัดเป็นกลุ่ม ภาชนะที่ใช้จัดหมรับใช้กระบุงหรือเข่งสานด้วยตอกไม้ไผ่</span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><u><b>การจัดหมรับ</b></u> คือ การบรรจุและประดับด้วยสิ่งของ อาหารขนมเดือนสิบลงภายในภาชนะที่เตรียมไว้เป็นชั้นๆ ดังนี้</span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">1. ชั้นล่างสุด จัดบรรจุสิ่งของประเภทอาหารแห้งลงไว้ก้นภาชนะ</span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">2. ชั้นที่สอง บรรจุอาหารประเภท พืช ผัก ที่เก็บได้นาน ใส่ขึ้นมาจากชั้นล่างสุด</span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">3. ชั้นที่สาม จัดบรรจุสิ่งของประเภทของใช้ในชีวิตประจำวัน</span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">4. ชั้นที่สี่ ใช้บรรจุและประดับประดาด้วยขนมอันเป็นสัญลักษณ์ของสารทเดือนสิบเป็นหัวใจของหมรับ ได้แก่ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง(ขนมไข่ปลา) ขนมบ้า ขนมดีซัม ขนมเหล่านี้มีความหมายในการทำบุญเดือนสิบซึ่งขาดเสียมิได้เพื่อให้บรรพบุรุษและผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้นำไปใช้ประโยชน์</span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><u><b>การยกหมรับ</b></u></span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">วันแรม 15 ค่ำ ชาวบ้านจะนำหมรับที่จัดเตรียมไว้ ไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลที่วัดโดยเลือกวัดที่ใกล้บ้านหรือวัดที่บรรพบุรุษของตนนิยม และนำภัตตาหารไปถวายพระด้วย วันนี้เรียกว่า "วันยกหมรับ"</span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><u><b>การฉลองหมรับและการบังสุกุล</b></u></span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">วันแรม 15 ค่ำ ซึ่งเป็นวันสารทเรียกว่า "วันฉลองหมรับ" มีการทำบุญเลี้ยงพระและบังสุกุล การทำบุญวันนี้เป็นการส่งบรรพบุรุษและญาติพี่น้องให้กลับไปเมืองนรก นับเป็นสำคัญยิ่งวันหนึ่งซึ่งเชื่อกันว่าหากไม่ได้ทำพิธีกรรมในวันนี้บรรพบุรุษและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วจะไม่ได้รับส่วนบุญส่วนกุศลทำให้เกิดทุกขเวทนาด้วยความอดยาก ลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็กลายเป็นคนอกตัญญูไป</span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><u><b>การตั้งเปรตและการชิงเปรต</b></u></span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;">เสร็จจากการฉลองหมรับและถวายภัตตาหารแล้ว ก็นิยมนำขนมอีกส่วนหนึ่งไปวางไว้ที่ลานวัด โคนไม้ใหญ่ หรือกำแพงวัด เรียกว่า "ตั้งเปรต" เป็นการแผ่ส่วนกุศุลให้เป็นสาธารณทานแก่ผู้ที่ล่วงลับที่ไม่มีญาติหรือญาติไม่ได้มาร่วมทำบุญให้ เมื่อถึงเวลาที่กำหนด ชาวบ้านก็จะแย่งชิงขนมที่ตั้งเปรตไว้ เรียกว่า"ชิงเปรต" ถือว่าผู้ที่ได้กินขนมจะได้บุญ</span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><br /></span></div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;">แหล่งที่มา</span></div>
<div style="background-color: white;">
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<a href="http://www.culture.nstru.ac.th/lifestyle/sart_thai.html"><span style="color: #351c75; font-size: large;">http://www.culture.nstru.ac.th/lifestyle/sart_thai.html</span></a></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><br /></span></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif';">
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><br /></span></div>
<h3 class="post-title entry-title" itemprop="name" style="margin: 0px; position: relative;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: x-large; font-weight: normal;">แห่นก ชายแดนใต้จังหวัดปัตตานี</span></h3>
<div>
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;"><br /></span></div>
<div>
<div style="line-height: 24px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;"><span lang="TH"> <u>เป็นประเพณีไทยพื้นเมือง</u> ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ซึ่งได้กระทำสืบเนื่องกันมาเป็นเวลานาน จัดขึ้นเป็นครั้งคราวตามโอกาสเพื่อความสนุกรื่นเริง เป็น<a href="http://xn--k3chbgks4ae1jybbf4lnc8bc.blogspot.com/" style="text-decoration: none;">ประเพณี</a>ที่แสดงออกเกี่ยวกับความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในศิลปะ และอาจจัดขึ้นในโอกาสเพื่อเป็นการแสดงคารวะ แสดงความจงรักภักดีแก่ผู้ใหญ่ที่ควรเคารพนับถือ หรือในโอกาสต้อนรับแขกเมือง บางทีอาจจะจัดขึ้นเพื่อความรื่นเริงในพิธีการเข้าสุหนัด หรือที่เรียกว่า </span>“มาโซะยาวี” หรือจัดขึ้นเพื่อการประกวดเป็นครั้งคราว</span></div>
<div style="line-height: 24px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px; text-align: justify;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;"><span lang="TH"> จากตำนานบอกเล่ากล่าวถึงความเป็นมาของ<a href="http://xn--k3chbgks4ae1jybbf4lnc8bc.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%81" style="text-decoration: none;">ประเพณีแห่นก</a>ว่าเริ่มที่ยาวอ </span>(ชวา) กล่าวคือ มีเจ้าผู้ครองนครแห่งยาวอพระองค์หนึ่ง มีพระโอรสและพระธิดาหลายพระองค์ พระธิดาองค์สุดท้องทรงเป็นที่รักใคร่ของพระบิดาเป็นอย่างยิ่ง จึงได้รับการเอาอกเอาใจทั้งจากพระบิดาและข้าราชบริพาร ต่างพยายามแสวงหาสิ่งของและการละเล่นมาบำเรอ ในจำนวนสิ่งเหล่านี้มีการจัดทำนกและจัดตกแต่งอย่างสวยงาม แล้วมีขบวนแห่แหนไปรอบ ๆ ลานพระที่นั่ง เป็นที่พอพระทัยของพระธิดาเป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดฯ ให้มีการจัด<a href="http://xn--k3chbgks4ae1jybbf4lnc8bc.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%81" style="text-decoration: none;">แห่นก</a>ถวายทุก 7 วัน</span></div>
</div>
<div style="line-height: 24px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px; text-align: justify;">
<div style="margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;"> อีกตำนานหนึ่งว่า ชาวประมงได้นำเหตุมหัศจรรย์ที่ได้พบเห็นมาจากท้องทะเลขณะที่ตระเวนจับปลามา เล่าว่า พวกเขาได้เห็นพญานกตัวหนึ่งสวยงามอย่างมหัศจรรย์ ผุดขึ้นมาจากท้องทะเลแล้วบินทะยานขึ้นสู่อากาศแล้วหายลับไปสู่ท้องฟ้า พระยาเมืองจึงซักถามถึงรูปร่างลักษณะของนกประหลาดตัวนั้น ต่างคนต่างก็รายงานแตกต่างกันตามสายตาของแต่ละคน พระยาเมืองตื่นเต้นและยินดีมาก ลูกชายคนสุดท้องก็รบเร้าจะใคร่ได้ชม พระยาเมืองจึงป่าวประกาศรับสมัครช่างผู้มีฝีมือหลายคนให้ประดิษฐ์รูปนกตามคำ บอกเล่าของชาวประมงซึ่งได้เห็นรูปที่แตกต่างกันนั้น ช่างทั้งหลายประดิษฐ์รูปนกขึ้นรวม 4 ลักษณะ คือ</span></div>
<div style="line-height: 20px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px;">
<span style="font-family: Courier New, Courier, monospace;"><span style="color: #351c75; font-size: large; line-height: 24px;"></span></span></div>
<div style="line-height: 20px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px; text-align: start;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;">1.นกกาเฆาะซูรอ หรือนกกากะสุระ นกชนิดนี้ตามการสันนิษฐานน่าจะเป็น “นกการเวก” เป็นนกสวรรค์ที่สวยงามและบินสูงเทียมเมฆ การประดิษฐ์มักจะตกแต่งให้มีหงอนสูงแตกออกเป็นสี่แฉก นกชนิดนี้ชาวพื้นเมืองเรียกว่า “นกทูนพลู” เพราะบนหัวมีลักษณะคล้ายบายศรีพลูที่ประดับในถาดเวลาเข้าขบวนแห่ ทำเป็นกนกลวดลายสวยงามมาก มักนำไม้ทั้งท่อนมาแกะสลักตานก แล้วประดับด้วยลูกแก้วสี ทำให้กลอกกลิ่งได้ มีงายื่นออกมาจากปากคล้ายงาช้างเล็ก ๆ พอสมกับขนาดของนก</span></div>
<div style="line-height: 20px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px; text-align: start;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;">2.นกกรุดาหรือนกครุฑ มีลักษณะคล้ายกับครุฑที่เห็นโดยทั่วไป</span></div>
<div style="line-height: 20px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px; text-align: start;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;">3.นกบือเฆาะมาศหรือนกยูงทอง มีลักษณะคล้ายกับนกกาเฆาะซูรอมาก การประดิษฐ์ตกแต่งรูปนกพญายูงทองนั้น ต้องทำกันอย่างประณีตถี่ถ้วน และใช้เวลามาก </span></div>
<div style="line-height: 20px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px; text-align: start;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;">4.นกบุหรงซีงอหรือนกสิงห์ มีรูปร่างคล้ายราชสีห์ ตามคตินกนี้มีหัวเป็นนกแต่ตัวเป็นราชสีห์ ตามนิทานเล่ากันว่ามีฤทธิ์มาก ทั้งเหาะเหินเดินอากาศ และดำน้ำได้ ปากมีเขี้ยวงาน่าเกรงขาม</span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgFHGJhpL_m9oHjfefCovpvYS7cNSnH2-mhEBTB3KNXa26NRQlQ96I3Sp3zvRQUUOLDbhWEEayKyOKsD3Vv4fBJiGYCwouVo9-Ru6MAtQ9vsnzZsnmn1Ynqazw9jw7p0K7310IucOKNrQ0/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B53+%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1"><span style="color: #351c75; font-size: large;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgFHGJhpL_m9oHjfefCovpvYS7cNSnH2-mhEBTB3KNXa26NRQlQ96I3Sp3zvRQUUOLDbhWEEayKyOKsD3Vv4fBJiGYCwouVo9-Ru6MAtQ9vsnzZsnmn1Ynqazw9jw7p0K7310IucOKNrQ0/s1600/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B53+%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%99.jpg" width="288" /></span></a></div>
<div style="line-height: 20px; margin-bottom: 1em; margin-top: 1em; padding: 0px; text-align: start;">
<span style="color: #351c75; font-family: Courier New, Courier, monospace; font-size: large;"><span lang="TH" style="line-height: 24px; text-align: justify;"> ในการประดิษฐ์นกนิยมใช้ไม้เนื้อเหนียว เช่น ไม้ตะเคียน ไม้กายีร นำมาแกะเป็นหัวนก เนื้อไม้เหล่านี้ไม่แข็งไม่เปราะจนเกินไป สะดวกในการแกะของช่าง ทั้งยังทนทานใช้การได้นานปี สำหรับตัวนกจะใช้ไม้ไผ่ผูกเป็นโครง ติดคานหาม แล้วนำกระดาษมาติดรองพื้น ต่อจากนั้นก็ตัดกระดาษสีเป็นขน ประดับส่วนต่าง ๆ สีที่นิยมได้แก่ สีเขียว สีทอง </span><span style="line-height: 24px; text-align: justify;">(เกรียบ) สีนอกนั้นจะนำมาใช้ประดับตกแต่งเพื่อให้สีตัดกันแลดูเด่นขึ้น</span></span><br />
<span style="color: #351c75; font-size: large;"><span style="font-family: Courier New, Courier, monospace;"><span style="line-height: 24px; text-align: justify;"><br /></span></span>
<span style="font-family: Courier New, Courier, monospace;"><span style="line-height: 24px; text-align: justify;">แหล่งที่มา</span></span></span><br />
<span style="font-family: Courier New, Courier, monospace;"><span style="color: #38761d; font-size: large; line-height: 24px; text-align: justify;"><a href="http://xn--k3chbgks4ae1jybbf4lnc8bc.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89">http://xn--k3chbgks4ae1jybbf4lnc8bc.blogspot.com/search/label/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%93%E0%B8%B5%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%83%E0%B8%95%E0%B9%89</a></span></span></div>
</div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif'; font-size: 15px;">
<br /></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif'; font-size: 15px;">
<br /></div>
<div style="font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif'; font-size: 15px;">
<br /></div>
</div>
<div style="background-color: white; font-family: 'MS Sans Serif', 'Microsoft Sans Serif'; font-size: 15px;">
<br /></div>
</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/05751093116893986780noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8308374682693539193.post-58614732769311191702013-07-18T22:53:00.001+07:002013-08-14T14:17:18.365+07:00คุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;"> </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;"><a href="https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcS_OnATMXuOmJxEsskZBjJrDDvy8sHheywNRapG2Dx07B0R8AZR8g" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcS_OnATMXuOmJxEsskZBjJrDDvy8sHheywNRapG2Dx07B0R8AZR8g" /></a></span></div>
<br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;"> การประเมินวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู เพื่อให้ข้าราชการครู และบุคลากรทางทางการศึกษามีและเลื่อนวิทยฐานะ(ชำนาญการพิเศษ) จะประเมินใน 6 เรื่อง ได้แก่</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">1.พฤติกรรมการรักษาระเบียบวินัย ได้แก่ การควบคุมการประพฤติปฏิบัติของตนเองให้อยู่ในกฎระเบียบของหน่วยงานและสังคมในกรณีมีความรับผิดชอบและซื่อตรงต่อการปฏิบัติหน้าที่ โดยยึดถือประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">2.การประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ได้แก่ พฤติกรรมการปฏิบัติทั้งพฤติกรรมส่วนตนและพฤติกรรมการปฏิบ้ติงาน ทั้งในเรื่องความสามัคคีและวิถีประชาธิปไตยในการดำเนินชีวิต</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">3.การดำรงชีวิตอย่างเหมาะสม ได้แก่ การประพฤติปฎิบัติตนในการดำรงชีวิตที่ยึดหลักความพอเพียง การหลีกเลี่ยงอบายมุข การรู้รักสามัคคีและวิถีประชาธิปไตยในการดำเนินชีวิต</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">4.ความรักและศรัทธาในวิชาชีพ ได้แก่ ความพึงพอใจและอุทิศเวลาในการปฏิบัติงานในหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ โดยมุ่งผลสำเร็จที่เป็นความเจริญก้าวหน้าของการจัดการศึกษา</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">5.ความรับผิดชอบในวิชาชีพ ได้แก่ การปฏิบัติงานในหน้าที่โดยคำนึงถึงความถูกต้อง ความซื่อสัตย์สุจริต และผลประโยชน์ของหน่วยงานและผู้รับบริการเป็นสำคัญ</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">6.ค่านิยม และอุดมการณ์ของความเป็นครู และบุคลากรทางการศึกษา ได้แก่ ค่านิยมพื้นฐาน 5 ประการ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ฯลฯ </span><br />
<span style="background-color: white; font-size: large;"><br /></span>
<br />
<a name='more'></a><span style="background-color: white;"><span style="color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;"><br /></span>
<span style="color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;"><br /></span>
<span style="color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">จรรยาบรรณของวิชาชีพครู</span></span><br />
<span style="background-color: white;"><span style="color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;"><br /></span></span>
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">1.ครูต้องประพฤติตามจรรยาบรรณของวิชาชีพและแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">2.ครูต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">3.ครูต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพ และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพ</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">4.ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้กำลังใจแก่ศิษย์และผู้รับบริการตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">5.ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">6.ครูต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ หรือผู้รับบริการ</span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">7.ครูต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาคโดยไม่เรียกรับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ</span><br />
<span style="background-color: white; font-size: large;"><span style="color: #000099; font-family: Tahoma;">8.ครูต้องช่วยเหลือเกื้อ</span><span style="color: #000099; font-family: Tahoma;">ซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบคุณธรรม สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ</span></span><br />
<span style="background-color: white; color: #000099; font-family: Tahoma; font-size: large;">9.ครูต้องประสงค์ปฏิบัติตนเป็นผู้นำในการอนุรักษ์และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข</span><br />
<span style="font-size: large;"><span style="background-color: #fff7f2; color: #000099; font-family: Tahoma;"><br /></span>
<span style="background-color: #fff7f2; color: #000099; font-family: Tahoma;"><a href="http://www.nathonpattana.ac.th/forum/topic-9325.html" rel="nofollow">แหล่งที่มา</a></span></span><br />
<span style="font-size: large;"><a href="http://www.nathonpattana.ac.th/forum/topic-9325.html">http://www.nathonpattana.ac.th/forum/topic-9325.html</a></span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/05751093116893986780noreply@blogger.com0